แม้จะเร่งจังหวะปั่นจักรยานมือ 2 ญี่ปุ่นคันเก่าให้เร็วขึ้น แต่แดดสายแสงจ้าก็ยังไล่หลังมาไม่ลดละ เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วแผ่นหลัง แขนขาเริ่มปวดล้า ข้าพเจ้าชะลอจังหวะก่อนเลี้ยวขวาข้ามสะพานคลองชลประทานหน้าทักษิณาคาร สนามฟุตบอลข้างทางไร้ผู้คน ร้านสะดวกซื้อยังจอแจ ตลาดริมชลรอคอยยามเย็นมาเติมเต็มความครึกครื้น เบื้องหน้าอาคารสีสันสดสไตล์ชิโนโปรตุกีส อันเป็นที่ตั้งของสถาบันทรัพยากรและการเรียนรู้ ต้นพะยอมแผ่กิ่งก้านสยายให้ร่มเงาพอให้แสงแดดลอดผ่านรำไร ทุกอย่างดูเงียบนิ่ง ไร้ลมไหวใบไม้
1.
บนเส้นทางเลี้ยวซ้ายหักศอก แล้วเลี้ยวขวา และซ้ายอีกที จักรยานตรงดิ่งเข้าไปในอาคารฯ ข้าพเจ้าจอดเช็ดเหงื่อ ปลดเป้สะพายหลังวางใส่ตะกร้าหน้ารถ ก่อนเดินเข้าไปห้องสำนักงานด้านขวามือ
หลายคนสีหน้าแปลกใจที่ข้าพเจ้าโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว สภาพหัวฟู เหงื่อโซม หนึ่งในทีมงานที่มักคุ้นกันเป็นอย่างดี รีบเชื้อชวนนั่งตรงโต๊ะรับแขก “รับกาแฟนะครับ” เขาถามนำ ข้าพเจ้ายิ้มหอบ
ช่วงหลังๆ มานี้ ข้าพเจ้าดื่มกาแฟวันละแก้วเท่านั้น และพยายามจะไม่ทานอาหารว่างระหว่างมื้อถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ว่ากันว่าการทานอาหารไม่เป็นเวลา ส่งผลต่อระบบการทำงานของเมตาบอลิซึม(Metabolism) และนาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) ทำงานผิดปกติ ทำให้ “สูญเสียสมดุล” ของร่างกาย อันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเรื้อรัง ที่เรียกว่า เมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) จำพวก หัวใจ หลอดเลือดในสมอง ความดันโลหิต น้ำตาล ไขมัน เบาหวาน อ้วน ลงพุง ฯลฯ
ว่ากันว่าเพียงแค่ “อยาก” รับประทานผิดแผกไปจากวัตรปฏิบัติเพียงครั้งเดียว ร่างกายอาจใช้เวลาถึง 2-3 วัน กับการปรับตัว คืนสู่ “สมดุล”
“อยากมีอายุยืน ต้องไม่ตามใจปาก” มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างนั้นในวัยเฉียด 100 ปี
2.
พลันที่ข้าพเจ้ายื่นหนังสือ เรื่องล่า “วิชาของแม่” เรื่องเล่า วิถีที่ง่ายงาม วีรกรรมที่ห้าวหาญของแม่ ผู้ลุกสร้างโลกจากครอบครัว บ้านย่านและชุมชนด้วยรักและอ่อนโยน ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่ง ในคณะกรรมการกำหนดทางวิชาการของมหาวิทยาลัยทักษิณ ท่านยิ้มรับไว้ด้วยเมตตาและชื่นชม แต่ไม่วายแสดงสีหน้าแบบสงสัยไม่น้อย ก่อนจะกล่าวถามว่า “เอาเวลาที่ไหนไปเขียนหนังสือ”
ในช่วง 3 ปีมานี้ ข้าพเจ้าออกหนังสือมาแล้ว 4 เล่ม นับแต่จดหมายลายมือพ่อ ผู้กลายเป็นเรื่องเล่าของหมู่บ้าน วิชาของแม่ และ เพราะไม่มีจึงแตกต่าง ใครต่อใคร ? มักถามคำถามในลักษณะนี้เสมอ
“พยายามมีวินัย อ่าน และเขียนทุกวัน” ข้าพเจ้าตอบคำถามคล้าย ๆ กันนี้
อาจเป็นเพราะภาระ หน้าที่ และความรับผิดชอบทางการบริหารที่ข้าพเจ้าต้องแบกบ่า ความรับผิดชอบอันลึกซึ้งไพศาล ทำให้ “เวลา” ที่จะไปคิดทำอย่างอื่นต้องหมดไป บ้างแสดงนัยของความห่วงใย ส่งผ่านกำลังใจให้เข้มแข็ง ใส่ใจกับการดูแลตนเอง เป็นต้น
“ส่วนรวม-องค์กรต้องมาก่อน ทำงานให้สนุก มีวินัย และให้รักษาสมดุลชีวิต” ข้าพเจ้ากล่าวแบบนี้เสมอ ในวาระ โอกาสต่างๆ
ถ้าส่วนรวม-องค์กรได้ เราทุกคนจะได้...แต่ถ้าใครบางคน บางกลุ่มได้ ส่วนรวม-องค์กร มักสูญเสีย ข้าพเจ้าเชื่อตามคำพ่อสอน
ทำงาน ใช้ชีวิตอย่างไรให้สมดุล (Work-Life Integration) ?
โลกเชิงระบบและกลไกสมัยใหม่ มักแยกส่วน ไม่เชื่อมโยงถึงกัน แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตและงานคือเนื้อเดียวกัน “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” พุทธธรรมนำชีวิตของท่านพุทธท่าสภิกขุ อาริยสงฆ์ ยังสกาวสดใส ในท่ามกลางความเสื่อมทรุด-พุทธศาสนา
ข้าพเจ้ารักษาสมดุลชีวิตในแง่นี้ง่ายๆ สนุกกับทุกวันในการทำงาน ยิ้ม หัวเราะ หมั่นทบทวน คิดค้น ทดลอง หาความ “ใหม่” มาพูดคุย สนทนา และลงมือทำ ก็เท่านั้น [หากมีโกรธ โมโห ฉุนเฉียว ต้องกลับมาให้ไว ให้เร็ว]
พยายามอ่านให้ทุกวัน วางหนังสือไว้ทุกที่ ทุกๆ มุมของบ้าน ศาลา ถือติดตัวในทุกการเดินทาง วันละหน้าครึ่งหน้า...หางานอดิเรกใหม่ๆ ไม่ซ้ำซากจำเจ (ช่วงนี้กำลังบ้าเห่อหัดดัดบอนไซ) ออกกำลังกายได้ทุกที [เดินที่บ้าน ที่ทำงาน-มีDumbbell พยายามไม่ขึ้นลิฟต์] เข้านอนตรงเวลา แทบเลิกติดตามฟุตบอลแบบเต็มแมตช์ แต่จะดูหนังสัปดาห์ละเรื่อง เป็นต้น
3.
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ชีวิตก็ไม่ได้ยากอะไร
เหมือนกับการปั่นจักรยาน-อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้
ไปข้างหน้า รักษาสมดุล
................................................................................
รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์
อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ
สัมมนาเสริมพลังผู้บริหารเพื่อการเปลี่ยนแปลง 28-30 สิงหาคม 2568
ปากบารา สตูล,